วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

ตัวอย่างเพลงพื้นบ้าน

                                              
 เพลงฉ่อย
"โอง โวง โว โชะ ละ โอ่ โง๋ง โง๋ย "

มาร้องมารำ ละเล่นเพลงฉ่อย..............แต่ว่ากลัวจะกร่อย ไม่อร่อยไป
เล่นได้หลายแบบ และหลายรส...............ด้นต่อกลอนสด ให้สุขใจ
วันนี้ฤกษ์ดี เรามาร่วมรักษ์............เชิญคุณซอมฯ พิทักษ์ ของไทยไทย
จะร้องหรือจะรำ ก็ว่ากันต่อ.............เชิญทุกท่านหัวร่อ อ่านกันใหม่
อ่านแล้วนั่นก็อาจ จะไม่มันส์...........เชิญมาร่วมลงขัน ประชันไหม
ขยับแข้งขยับขา ให้กระฉับกระเฉง.........พ่อเพลงแม่เพลง สู้สุดใจ
พี่น้องผองเพื่อน ร่วมกันฮา.............ขออย่ารอช้า บรรเลงไวไว

เอชา..เอ้ชา..ชา ชาชา หน่อยแม่.....


- ๑ -
ลูกขอยกมือขึ้นเหนือเศียร..........ต่างธูปต่างเทียนวันทา
จะไหว้พระพุทธ์เลิศล้ำ.............จะไหว้พระธรรมเลิศหล้า
จะไหว้พระสงฆ์องค์สามารถ...........ทรงพุทธศาสน์สืบมา
จะไหว้คุณครูผู้สั่งสอน............อีกทั้งบิดรมารดา


- ๒ -

ต้นเต็งเป็นแถวต้นแต้วเป็นทิว...........กาหลงสูงลิ่วเรียงราย
ข่อยคูนแคคางเคียงข้างไข่เน่า...........ไกรกร่างกันเกราหว้าหวาย
ขานางยางยูงไทรย้อยรากยาว...............มะต้องทองกวาวเขลงขลาย
ชมไม้ปลายฝนลมพัดโบก....................ลมหนาวมันโกรกไม่วาย


- ๓ -

โอ้ว่ากรรมเอ๋ยกรรมกรรม..............ไม่รู้เลยจะทําอย่างไร
ถ้าเป็นกำกงหรือกำเกวียน.............หักแล้วเปลี่ยนกำใหม่
ถ้าเป็นกำมือหรือกำหมัด..............กำแล้วก็ยังรัดออกได้
โอ้นี่มันเป็นกรรมคน.................หักแล้วจึงจนหัวใจ



                              เพลงอีแซว

           บทร้องประวัติเพลงอีแซว    
     เอ่อ เฮ้อ เออ... เอ่อ เอิ้ง เง้อ... เอ่อ เอิ้ง เงย...  อือ...
     บรรจงจีบสิบนิ้ว        ขึ้นหว่างคิ้วทั้งคู่ (เอิง เงอ เอ๊ยแล้วทั้งคู่
        เชิญรับฟังกระทู้          เอ๋ยแล้วเพลงไทย (เอ่อ เอ้อ เอ๊ยแล้วเพลงไทย
     เชิญสดับรับรส         กลอนสดเพลงอีแซว    
     ฝากลำนำตามแนว    เพลงอีแซวยุคใหม่
     เพลงอีแซวยุคใหม่    ผิดกับสมัยโบราณ
     ถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน      นับวันจะสูญหาย
     ถ้าขาดผู้ส่งเสริม       เพลงไทยเดิมคงสูญ (เอิง เงอ เอ๊ยแล้งคงสูญ
     ถ้าพ่อแม่เกื้อกูล       ลูกก็อุ่นหัวใจ (เอ่อ เอ้อ เอ๊ยอุ่นหัวใจ
     อันว่าเพลงพื้นเมือง  เคยรุ่งเรืองมานาน 
     สมัยครูบัวผัน          และอาจารย์ไสว
     ประมาณร้อยกว่าปี   ตามที่มีหลักฐาน
     ที่ครูบาอาจารย์       หลายๆ ท่านกล่าวไว้
     ทั้งปู่ย่าตายาย        ท่านก็ได้บอกเล่า (เอิง เงอ เอ๊ยได้บอกเล่า
     การละเล่นสมัยเก่า     ที่เกรียวกราวเกรียงไกร (เอ่อ เอ้อ เอ๊ยแล้วเกรียงไกร
     ในฤดูเทศกาล        เมื่อมีงานวัดวา        
     ทอดกฐินผ้าป่า       ก็เฮฮากันไป
     ยามตรุษสงกรานต์   ก็มีงานเอิกเกริก
     งานนักขัตฤกษ์       ก็เอิกเกริกกันใหญ่
     ประชาชนชุมนุม     ทั้งคนหนุ่มคนสาว
     ทั้งผู้แก่ผู้เฒ่า         ต่างก็เอาใจใส่
     ชวนลูกชวนหลาน   ไปร่วมงานพิธี (เอิง เงอ เอ๊ยงานพิธี
     ถือเป็นประเพณี      และศักดิ์ศรีคนไทย (เอ่อ เอ้อ เอ๊ยแล้วคนไทย
     ที่จังหวัดสุพรรณ     ก็มีงานวัดป่า
     คนทุกทิศมุ่งมา       ที่วัดป่าเลไลยก์
     ปิดทองหลวงพ่อโต  แล้วก็โมทนา
     ให้บุญกุศลรักษา      มีชีวาสดใส
     ได้ทำบุญทำทาน     ก็เบิกบานอุรา 
     สุขสันต์หรรษา        ทั่วหน้ากันไป
     ได้ดูลิเกละคร          เวลาก็ค่อนคืนแล้ว (เอิง เงอ เอ๊ยค่อนคืนแล้ว
     เพลงฉ่อยเพลงอีแซว   ก็เจื่อยแจ้วปลุกใจ (เอ่อ เอ้อ เอ๊ยแล้วปลุกใจ 
     หนุ่มสาวชาวเพลง    ก็ครื้นเครงล้อมวง
     เอ่ยทำนองร้องส่ง     ตั้งวงรำร่าย
     ร้องเกี้ยวพาราสี       บทกวีพื้นบ้าน 
     เป็นที่สนุกสนาน      สำราญหัวใจ
      พลงพวงมาลัย         บ้างก็ใส่เพลงฉ่อย  (เอิง เงอ เอ้ยแล้วเพลงฉ่อย
      ทั้งลูกคู่ลูกข้อย       ต่างก็พลอยกันไป  (เอ่อ เอ้อ เอ๊ยพลอยกันไป 



                                     เพลงเรือ
เพลงเรือ  ชาย
เอ่อ เออ เอิง เอย ฮ้า ไฮ้ เชี้ยบ เชี้ยบ
พี่ลงเรือ ลำยาว หมายสาว กลางน้ำ       สองมือพี่ นี้กำ(ฮ้า..) ด้ามพาย (ไฮ้)
ด้ามพาย ของพี่ อันนี้ ไม่ใช่นิด             สองมือกำ ไม่มิด (ฮ้า..) ทั้งขวาซ้าย(ไฮ้)
พายก็ยาก เต็มที พี่นี้ อึดอัด                 ต้องพายงัด พายงัด (ฮ้า..) จนตาลาย(ไฮ้)
อยากชวน นวลเนื้อ มาพายเรือ ลำนี้       ลองมาใช้ พายพี่ (ฮ้า..) สักทีไหม(ไฮ้)
เรือน้อง คมขำ ก็ลำ ใหญ่โต                เชิญมาพาย เรือโชว์ (ฮ้า..) กับพี่ชาย(ไฮ้)
ช่วยกันพาย ช่วยกันจ้ำ ลอยลำ นาวา     ให้ก้าวล้ำ นำหน้า (ฮ้า..) สู่จุดหมาย(ไฮ้)
น้องจับ พี่จับ บังคับ ใบพาย                 ถึงแล้วก็ สบาย ใจเอย
(รับ) ถึงแล้วก็ สบาย ใจเอย                น้องจับ พี่จับ บังคับ ใบพาย พี่จับ พี่จับ บังคับ ใบพายถึงแล้วก็สบาย ถึงแล้วก็สบาย สบายใจเอย ฮ้า ไฮ้ เชี้ยบ เชี้ยบ

เพลงเรือ หญิง แก้
เอ่อ เออ เอิง เอย ฮ้า ไฮ้ เชี้ยบ เชี้ยบ
พายเรือ ลำน้อย ล่องลอย กลางน้ำ         แสนรำคาญ น้ำคำ(ฮ้า) ผู้ชาย (ไฮ้)
คุยนัก คุยหนา คุยว่าพาย ไม่เล็ก           โถแค่พาย เด็กเด็ก(ฮ้า) น่าอับอาย(ไฮ้)
เห็นพาย ของพี่ อันนี้นึก สงสาร             สู้พายเด็ก อนุบาล(ฮ้า) ยังไม่ได้(ไฮ้)
ด้ามโค้ง ปลายคด น่าสลด หดหู่            แถมยังสั้น จุ๊ดจู๋ (ฮ้า) ทู่ตรงปลาย(ไฮ้)
รูปพาย อย่างนี้ เห็นที พายไม่ทน           พายนิด ก็นั่งบ่น(ฮ้า) ทนไม่ไหว(ไฮ้)
จะมา ชวนน้อง ให้ลองใช้ พายพี่            ให้น้องใช้ ฟรีฟรี (ฮ้า) ไม่สนใจ(ไฮ้)
เบื่อคน คุยโว โม้กัน เกินไป                  นี่มันเป็น นิสัย ชายเอย
(รับ) นี่มันเป็น นิสัย ชายเอย             เบื่อคน คุยโว โม้กัน เกินไป คุยโว คุยโว โม้กัน เกินไปนี่มันเป็น นิสัย นี่มันเป็น นิสัย นิสัย ชายเอย ฮ้า ไฮ้ เชี้ยบ เชี้ยบ

 เพลงพวงมาลัย (ชาย)
เอ่อ ระเหย ลอยมา                                ขอเอ่ย วาจา ทักทาย(ลูกคู่รับ)
สาวรุ่น แม่คุณ คนดี                               พี่หนุ่ม บางลี่ มีน้ำใจ
พี่มี ของฝาก มาจาก สุพรรณ                    ให้เจ้า แจ่มจันทร์ รับไว้
แห้วดี จากศรีประจันต์                            สาลี่ สุพรรณ ของเอกชัย
ปลาม้า โอชา น่ำหม่ำ                             หมูหยอง ปลาหมำ บางลี่ดีหลาย
ปลาสลิด ปลาช่อน แดดเดียว                  ใครมา ท่องเที่ยว ต้องซื้อกลับไป
สุพรรณ ของกิน ก่ายกอง                        ถ้าเธอ ได้ลอง จะต้อง ติดใจ
พวงเอ๋ย มาลัย                                     คนงาม ทรามวัย รับไว้ชิมเอย
(รับ) พวงเอ๋ย มาลัย                              คนงาม ทรามวัย รับไว้ชิมเอย
พวงเอย พวงเอย มาลัย                          คนงาม ทรามวัย รับไว้ชิมเอย

เพลงพวงมาลัย(หญิง)ดัดแปลงจากของเก่า
เอ่อ ระเหย ลอยไป                              ลอยไกลจาก พนมทวน(ลูกคู่รับ)
น้องสาว เมืองกาญจน์ ซาบซ่านฤดี          ฟังหนุ่ม บางลี่ เชิญชวน
เชิญลิ้ม ชิมรส อาหาร                          ของคาว ของหวาน เป็นขบวน
ขอบคุณพี่ ที่มี น้ำใจ                            ซื้อของ มาให้ เนื้อนวล
น้องขอ ตอบแทน พระคุณ                     ให้พี่ อบอุ่น ตามสมควร
น้องจะหา แฟนเอามาให้                        ที่นม ใหญ่ใหญ่ อ้วนอ้วน
มีอก เป็นราง มีหางห้อยห้อย                   มีลูก น้อยน้อย ตามเป็นพรวน
พวงเอ๋ย ลำดวน              หน้าด่าง หางด้วน ล้วนล้วนเอย                                    
(รับ)พวงเอ๋ย ลำดวน                             หน้าด่าง หางด้วน ล้วนล้วนเอย
พวงเอย พวงเอย ลำดวน                        หน้าด่าง หางด้วน ล้วนล้วนเอย

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ครูเพลงพื้นบ้าน

                                                                             แม่ประยูร
            แม่ประยูร มีชื่อและนามสกุลจริงว่า นางประยูร ยมเยี่ยม เกิดเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ที่จังหวัดนนทบุรี ปัจจุบันอายุ ๖๘ ปี ท่านมีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก สามารถอ่านบทร้อยกรองได้อย่างไพเราะ ทั้งยังมีความทรงจำดีเยี่ยม เมื่ออายุได้ราว ๑๓-๑๔ ปี คุณตาของท่านซึ่งมองเห็นแววว่าท่านน่าจะเป็นนักแสดงที่ดีได้ จึงสนับสนุนให้เอาดีทางด้านการแสดงโดยการไหว้วานคนรู้จักที่ชื่อนายแดงให้ช่วยหาครูสอนเพลงพื้นบ้านให้ นายแดงจึงได้พาแม่ประยูรไปเรียนกับครูบาง ที่ตำบลบางไผ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งครูบางก็ได้สอนการเล่นลำตัดให้จนแม่ประยูรเล่นได้ดี และเริ่มออกแสดงลำตัดเป็นครั้งแรกเมื่อราวปี ๒๔๙๑ ขณะที่มีอายุได้ ๑๕ ปี
            ครั้นอายุประมาณ ๑๘ ปี แม่ประยูรก็ได้สมัครเข้าเล่นลำตัดกับคณะแม่จำรูญ ซึ่งเป็นลำตัดที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งแม่จำรูญก็ได้ช่วยถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านและลำตัดให้แม่ประยูรอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความชำนาญและมีประสบการณ์ยิ่งขึ้น สามารถด้นกลอนสด และแต่งคำร้องได้อย่างเฉียบแหลมคมคาย และได้มีโอกาสออกแสดงเป็นประจำ จนเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ในช่วงที่ร่วมคณะลำตัดกับแม่จำรูญนั้น แม่ประยูรก็ได้พบกับ หวังเต๊ะและได้ร่วมประชันลำตัดกันอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นคู่ประชันลำตัดยอดนิยมสูงสุด จากนั้นก็ได้แต่งงานอยู่กินกันจนมีบุตรด้วยกัน ๒ คน ก่อนที่จะหย่าขาดจากกัน แต่ก็ยังคงแสดงลำตัดร่วมกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน (ซึ่งผมก็ได้เล่าความยิ่งใหญ่และโด่งดังของทั้ง ๒ ท่านนี้เอาไว้แล้วในฉบับก่อน จึงจะไม่ขอเล่าซ้ำอีก)
            นอกจากลำตัดแล้ว แม่ประยูรยังมีความสามารถในการแสดงเพลงพื้นบ้านอีกหลายประเภท ได้แก่ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงเรือ และเพลงขอทาน เป็นต้น ท่านได้ตระเวนออกแสดงเพลงพื้นบ้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำตัด ไปทั่วประเทศและยังเป็นผู้ริเริ่มในการนำลำตัดมาจัดทำเป็นเทปคาสเซ็ทท์ และวิดีโอออกจำหน่ายหลายชุด ได้แก่ ชุดจุดเทียนระเบิดถ้ำ ชุดดังระเบิด ชุดเกิดแก่เจ็บตาย และชุดชายสอนหญิง เป็นต้น
            แม่ประยูรได้ช่วยเหลือสังคมส่วนรวมด้วยการร่วมแสดงในงานการกุศลต่างๆ มิได้ขาด ตลอดจนเป็นสื่อช่วยการประชาสัมพันธ์และการรณรงค์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อาทิ การรณรงค์ต่อต้านภัยจากคอมมิวนิสต์ และการต่อต้านโรคเอดส์ เป็นต้น โดยแต่งเนื้อร้องลำตัดที่ทันต่อเหตุการณ์ สามารถสื่อความหมายให้ผู้ฟังได้รับทั้งข้อมูลข่าวสารในรูปแบบใหม่ที่ให้ความบันเทิงอย่างแยบคายและสนุกสนาน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังมีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่และรักษาไว้ซึ่งเพลงพื้นบ้านต่างๆ อันเป็นศิลปะวัฒนธรรมที่สูงค่าของชาติเอาไว้ โดยได้อุทิศตนถ่ายทอดศาสตร์และศิลป์ทางด้านนี้ให้แก่นิสิตนักศึกษาในสถานศึกษาต่างๆ เช่น วิทยาลัยนาฏศิลป์ของกรมศิลปากร ตลอดจนผู้ที่มีใจใฝ่ศึกษาโดยทั่วไป ด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจอย่างละเอียดไม่ปิดบัง ทั้งสาธิตให้ดูอย่างชัดเจน และเอาใจใส่ฝึกฝนแก้ไขให้อย่างใกล้ชิด จนสามารถสร้างศิลปินเพลงรุ่นใหม่ที่มีความสามารถหลายคน จนสามารถนำไปเป็นอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวได้ ศิษย์ของท่านเหล่านี้ยังเป็นความหวังและกำลังสำคัญที่จะช่วยกันสืบทอดศิลปะแขนงนี้ให้ยั่งยืนต่อไปได้ นอกจากนั้น ท่านยังได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปแสดงเผยแพร่ในจังหวัดต่างๆ เนื่องในงานเทศกาลสำคัญๆ หรืองานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ยิ่งไปกว่านั้น แม่ประยูรยังเคยได้รับเชิญให้นำคณะลำตัดไปแสดงที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยได้ออกตระเวนแสดงลำตัดให้คนไทยในสหรัฐอเมริกาชมถึง ๓๓ รัฐ เป็นเวลานานกว่า ๓ เดือน ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างดียิ่ง
            จากเกียรติประวัติของการเป็นยอดศิลปินลำตัดฝ่ายหญิงที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ ส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติยกย่องให้ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ลำตัด) เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ เป็นท่านที่ ๒ ต่อจากลุงหวังเต๊ะ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติไปก่อนหน้านั้นแล้ว




ลุงหวังเต๊ะ
    ลุงหวังเต๊ะ หรือในชื่อและนามสกุลจริงว่า นายหวังดี นิมา เกิดในครอบครัวชาวนาเมื่อเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๖๘ ที่จังหวัดปทุมธานี ปัจจุบันอายุ ๗๖ ปี ไดรับการศึกษาจนถึงชั้นประถมปีที่ ๖ จากโรงเรียนวัดหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี
            นอกจากการทำนาอันเป็นอาชีพหลักแล้ว บิดาของลุงหวังเต๊ะยังเป็นนักลำตัดที่มีชื่อเสียง ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดศิลปะทางด้านนี้จากบิดาอย่างละเอียดลึกซึ้งทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นลีลา ท่าทาง ตลอดจนถึงการแต่งเพลงที่ใช้ในการเล่นลำตัดจนเชี่ยวชาญ ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของท่านก็เป็นละครชาตรีซึ่งก็ได้ถ่ายทอดการรำให้เป็นอย่างเต็มที่ จึงนับได้ว่าท่านได้รับเลือดศิลปินมาอย่างเต็มตัวตั้งแต่เล็กๆ
            ในวัยเด็ก ลุงหวังเต๊ะมักจะติดตามบิดาซึ่งออกไปแสดงตามงานต่างๆ เสมอ จึงได้มีโอกาสศึกษาและซึมซับการแสดงลำตัดโดยอัตโนมัติ และก็ได้เริ่มแสดงลำตัดกับบิดาตั้งแต่อายุเพียง ๑๓-๑๔ ปีเท่านั้น นอกจากลำตัดแล้ว ท่านยังได้หัดร้องเพลงพื้นบ้านอื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวข้าว เพลงพวงมาลัย และเพลงขอทาน เป็นต้น โดยมักจะฝึกร้องขณะช่วยบิดามารดาทำนา
            ครูทางการแสดงของลุงหวังเต๊ะหาได้มีเพียงบิดา มารดาของท่านเท่านั้น หากท่านยังได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากครูอีกหลายท่าน ได้แก่ ครูแก้ว ผมโป่ง ครูถนอม ท่าเกษม ครูจง สายสมอ ครูชะโอด ท่าไข่ ครูประยูร และแม่จรูญหน้าบาก เป็นต้น จากการที่มีครูผู้มีความสามารถสูงส่งทางด้านเพลงพื้นบ้านช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ กอปรกับความรักในศิลปะการแสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำตัดเป็นชีวิตจิตใจ และความขยันหมั่นเพียรในการฝึกซ้อม ทำให้ลุงหวังเต๊ะเป็นศิลปินที่เปี่ยมด้วยความสามารถทางด้านลำตัดอย่างยากที่จะหาผู้เทียบเทียมได้ ท่านได้แสดงให้สาธารณชนประจักษ์ถึงอัจฉริยภาพทางด้านการแสดงและการใช้ภาษาเฉียบคมลึกซึ้งจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงโดยทั่วไป
            ครั้นอายุได้ ๒๖ ปี ลุงหวังเต๊ะก็ได้ตั้งคณะลำตัดของตัวเองขึ้น ในการแสดงของท่านจะเน้นการแสดงไหวพริบปฏิภาณ ด้วยการใช้คำกลอนที่เชือดเฉือนคารมคมคาย และหลีกเลี่ยงการใช้สำนวนภาษาที่หยาบคายหรือลามกอนาจาร เพราะท่านถือว่าเป็นการทำงานที่ไม่มีศิลปะ และทำให้ภาพพจน์ของศิลปะการแสดงลำตัดเสียหาย ในด้านเนื้อหาและวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการแสดงนั้น ท่านก็ขยันศึกษาหาข้อมูลให้ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบันตลอดเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทำให้การแสดงของท่านทันสมัย สนุกสนาน และมีสาระข้อคิดครบครันไม่เคยทำให้ผู้ชมผิดหวัง
            ด้วยกิตติศัพท์ด้านลำตัดอันเลื่องลือของลุงหวังเต๊ะ ทำให้มีผู้มาขอฝากตัวเป็นศิษย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งท่านก็เต็มใจช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเต็มที่ไม่เคยหวงวิชา ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่มีสถานศึกษาเชิญให้ไปบรรยาย ท่านก็มักจะรับเชิญเสมอ ทำให้วงการลำตัดที่แต่เดิมนับวันจะซบเซาลงทุกขณะถึงขั้นเกือบจะสูญไป กลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง และมีอนาคตที่สดใสขึ้นกว่าเดิมมาก ส่วนในด้านการทำงานเพื่อสังคม ลุงหวังเต๊ะยังได้ใช้ความสามารถของท่านช่วยเหลืองานเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างขันแข็งมาโดยตลอดอีกด้วย
            คู่ประชันลำตัดฝ่ายหญิงของลุงหวังเต๊ะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือแม่ประยูร ยมเยี่ยม (ศิลปินแห่งชาติ) ซึ่งได้แสดงคู่กันมาเป็นเวลายาวนานจนเป็นที่คุ้นเคยของมหาชน นับได้ว่าเป็นคู่ลำตัดอมตะยอดนิยมที่ไม่มีคู่อื่นใดเทียบเทียมได้ ทั้ง ๒ ท่านนี้ได้ร่วมงานกันจนเกิดความสนิทสนมและแต่งงานอยู่กินกันจะมีบุตรด้วยกัน ๒ คน และแม้ว่าในที่สุดมีอันต้องแยกทางกัน ท่านก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและยังคงร่วมงานและไปมาหาสู่กันเสมอ
            จากผลงานดีเด่นทางด้านการแสดงลำตัด ทำให้ลุงหวังเต๊ะได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน) เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ นับเป็นนักแสดงลำตัดท่านแรกที่ได้รับเกียรตินี้




ขวัญจิต ศรีประจันต์
ขวัญจิต ศรีประจันต์ สนใจเพลงพื้นบ้านมาตั้งแต่อายุ 15 ปี และแม้เชื้อสายทางพ่อจะมีญาติเป็นพ่อเพลงที่มีชื่อเสียงของสุพรรณบุรี แต่พ่อก็ไม่สนับสนุนให้เป็นแม่เพลงพื้นบ้านด้วยเกรงว่าความเป็นสาวรุ่นจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องชู้สาวตามมา แต่กลับสนับสนุนลูกสาวอีกคนหนึ่งที่อายุยังน้อยให้ไปฝึกหัดเพลงพื้นบ้านกับพ่อเพลงไสว วงษ์งามแทน ความสนใจเพลงพื้นบ้าน ทำให้ขวัญจิตติดตามดูการร้องเพลงอีแซวของแม่เพลงบัวผัน จันทร์ศรี (ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2533) เป็นประจำและต่อมาได้มีโอกาสไปดูแลน้องสาวที่อยู่กับครูไสว จึงได้เรียนรู้การเล่นเพลงอีแซวแบบครูพักลักจำจนท่องเนื้อเพลงได้หลากหลายทั้งลีลาเพลงแนวผู้ชายของครูไสวและเพลงแนวผู้หญิงของครูบัวผัน
ขวัญจิต เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และวรรณคดีเก่าๆของไทยอ่านแล้วก็นำเนื้อหานั้นมาแต่งเป็นเพลงอีแซว ร้องเล่นจนเกิดความแตกฉานซึ่งต่อมาได้ขอครูไสว แสดงบ้าง แม้ในระยะแรกๆครูไสวจะยังไม่อนุญาต แต่ในเวลาต่อมาเมื่อได้เห็นความอดทน ความตั้งใจจริง จึงอนุญาตให้แสดงความสามารถ และด้วยพลังเสียงที่กังวานมีไหวพริบ ปฏิภาณ เฉลียวฉลาดในการว่าเพลง ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักฟังเพลงอีแซวยิ่งนัก
ขวัญจิต ได้ตระเวนเล่นเพลงอีแซวอยู่กับวงพื้นบ้านอีกหลายวงเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์จากพ่อเพลง แม่เพลงอีกหลายคนและเริ่มแสดงเพลงอีแซวในต่างจังหวัด และในกรุงเทพมหานคร ในงานสังคีตศาลา หรืองานสงกรานต์ที่ท้องสนามหลวงเป็นประจำ ทำให้มีความแตกฉานในเรื่องเพลงอีแซวมากยิ่งขึ้น สามารถเขียนเพลงเอง เพื่อใช้ในการแสดงและโต้ตอบเพลงสดๆ กับพ่อเพลงได้อย่างคมคายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม หลังจากเล่นเพลงอีแซวจนมีชื่อเสียงแล้วขวัญจิต ได้สมัครเป็นนักร้องลูกทุ่งโดยเริ่มอยู่กับวงดนตรีลูกทุ่งคณจำรัศ สุวคนธ์(น้อย) และวงไวพจน์ เพชรสุพรรณ โดยได้บันทึกแผ่นเสียงเพลงแรกชื่อเพลง เบื่อสมบัติ งานเพลงของครู จิ๋ว พิจิตร เมื่อ ปี 2510 ทำให้เริ่มมีชื่อเสียงจากเพลงลูกทุ่งจากเพลง “เบื่อสมบัติ” , “ลาน้องไปเวียดนาม”, “ลาโคราช”, “ขวัญใจโชเฟอร์” , “เกลียดคนหน้าทน” , “ขวัญใจคนจน” “แม่ครัวตัวอย่าง “ และ “แหลมตะลุมพุก
จากนั้นได้แต่งเพลงเองได้แก่ “กับข้าวเพชฌฆาต” , “น้ำตาดอกคำใต้” , “สาวสุพรรณ “ ซึ่งเป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้เป็นอย่างมาก ต่อมาจึงได้ตั้งวงดนตรีของตนเอง ชื่อวงขวัญจิต ศรีประจันต์ เป็นวงดนตรีที่นำระบบแสง สี เสียง ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาใช้ประกอบการแสดงนำเพลงอีแซวมาผสมผสานกับการแสดงเผยแพร่สู่ผู้ฟังทั่วประเทศจนเป็นที่รู้จักกันอย่างเป็นอย่างดี
พ.ศ. 2516 ขวัญจิต ยุติวงดนตรีลูกทุ่งแล้วกลับไปฟื้นฟูเพลงอีแซวที่ จ.สุพรรณบุรี อุทิศชีวิตในการอนุรักษ์ฟื้นฟู เผยแพร่และถ่ายทอดเพลงอีแซวให้กับลูกศิษย์และผู้สนใจมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน ได้ใช้ความรู้ความสามารถช่วยเหลือสถาบันการศึกษาและหน่วยงานราชการในการเป็นวิทยากรสาธิต รับแขกบ้านแขกเมืองด้วยการแสดงพื้นบ้านติดต่อกันมาอย่างยาวนาน

 ผลงานเพลงดัง

  • กับข้าวเพชฌฆาต
  • เบื่อสมบัติ
  • แม่ครัวตัวอย่าง
  • ก็นั่นนะซิ
  • พ่อเพาเว่อร์
  • เศรษฐีเมืองสุพรรณ
  • ผัวบ้าๆ
  • น้ำตาดอกคำใต้
  • สาวสุพรรณ
  • สุดแค้นแสนรัก
  • อ้อมอกเจ้าพระยา
  • แหลมตะลุมพุก
  • ทำบุญวันเกิด
  • ลาน้องไปเวียดนาม
  • ลาโคราช
  • ขวัญใจโชเฟอร์
  • เกลียดคนหน้าทน
  • ขวัญใจคนจน
  • หม้ายขันหมาก (ต้นฉบับ)
  • ผัวหาย
  • ฯลฯ เป็นต้น

ผลงานภาพยนตร์

ชีวิตครอบครัว
สมรสกับนายเสวี ธราพร มีบุตร 3 คน เป็น ชาย 1 คน และหญิง 2 คน

เกียรติยศ

พ.ศ. 2532 ได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็น ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะ (เพลงพื้นบ้าน) จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

พ.ศ. 2533 ได้รับคัดเลือกเป็นสื่อพื้นบ้านดีเด่นของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคกลางและสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด
พ.ศ. 2534 ได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็น นักร้องดีเด่นกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ครั้งที่ 2 จากเพลงกับข้าวเพชฌฆาต รับพระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดงานโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. 2536 ได้รับโล่เกียรติคุณ ฐานะนักร้องลูกทุ่งดีเด่นของ จ.สุพรรณบุรี
พ.ศ. 2539 ได้รับการประกาศเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว)

เพลงเรือ

  เพลงเรือเพลงพื้นบ้านที่เล่นกันมานานในสุพรรณบุรี

      เมื่อสมัยเด็กๆผมเคยได้ยินเพลงลูกทุ่งอยู่ชุดหนึ่ง เป็นเพลงที่ร้องแก้กันและร้องแกล้งกัน ที่ร้องแก้กันคือระหว่างไวพจน์ เพชรสุพรรณ และผ่องศรี วรนุช เป็นเพลงเรือ จำเนื้อเพลงได้ว่า “ โอ้แม่งามเหลือ พี่พายเรือมาเก็บผัก อย่ามองพี่นักพี่จะยักคิ้วให้ “ ส่วนเพลงที่ร้องแกล้งนี่ผมเรียกเอง เพราะร้องโดย ถนอม นวลอนันต์ ซึ่งเป็นดาราตลกรุ่นครู ผมจำเนื้อเพลงตอนต้นได้ว่า “ โอ้แม่งามเหลือพี่พายเรือ เข้ามารับ อย่ามัวนอนหลับ เชิญมาขับเพลงโต “ ฟังดูแล้วก็สนุกสนานดี สะท้อนให้เห็นว่าคนสมัยก่อนเขาคงเล่นเพลงเรือกันสนุกสนานมาก


      เพลงเรือ ไม่ใช่เพลงพื้นบ้านที่เล่นกันเฉพาะในจังหวัดสุพรรณบุรีเท่านั้น แต่เป็นเพลงพื้นบ้านที่รู้จักกันค่อนข้างแพร่หลาย โดยเฉพาะแถบจังหวัดลุ่มน้ำภาคกลาง เช่น อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ลพบุรีและสุพรรณบุรี ประวัติความเป็นมา จะเก่าแก่ถึงสมัยใดไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แม้มีผู้พบว่าในกฎมณเฑียรบาล สมัยกรุงศรีอยุธยา เคยกล่าวถึงเพลงเรือไว้ 2 แห่ง แต่ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าคือเพลงเรือที่ร้องกันแบบในปัจจุบันนี้หรือไม่


      ลักษณะของเพลงเรือ ตามปกติก็จะเล่นกันในหน้าน้ำ ราวๆเดือน 11 – 12 มีประเพณีทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ตามวัดต่างๆ มักจัดงานไหว้พระประจำปีขึ้น ชาวบ้านก็ลงเรือไปทำบุญกัน ระหว่างนั้นคนที่ “ เป็นเพลง “ คือคนที่ร้องเพลงเรือได้ ก็นิยมลอยเรือเล่นเพลงกันไป พ่อเพลงแม่เพลง มีทั้งระดับสมัครเล่นและระดับมืออาชีพ ลักษณะเด่นของเพลงเรือที่ไม่เหมือนเพลงอื่นคือการร้องรับว่า “ ฮ้า..ไฮ้ “


      วิธีร้องเล่น ก็ต้องลงไปร้องกันในเรือ เป็นเพลงที่ร้องโต้ตอบกันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องความรัก เป็นการเกี้ยวพาราสี หรืออาจมีการร้องเป็นชุดเป็นตับไป เช่นตับตีหมากผัว คือหญิง 2 คน เป็นเมียน้อยเมียหลวง แย่งผัวคนเดียวกัน หรือตับชิงชู้ คือเมียหนีตามชู้ไปผัวตามมาพบ เนื้อร้องก็มีทั้งเป็นบทที่ท่องจำสืบๆกันมาและที่ด้นเป็นกลอนสดๆ


      เมื่อจะไปเล่นเพลงเรือ ผู้เล่นมักใช้เรือพายม้าซึ่งมีท้องแบน ปูไม้กระดานแล้วนั่งได้ลำละ9-10 คน ในเรือจะมีขนมข้าวต้มและของกินติดไปด้วย เรือผู้หญิง ผู้หญิงมักสวมงอบ เรือผู้ชาย ผู้ชายมักสวมหมวกสาน พ่อเพลงแม่เพลงนั่งกลางลำ คนอื่นๆเป็นลูกคู่ ช่วยพาย ช่วยตีฉิ่ง และกรับ ไม่มีการปรบมือและไม่มีการรำ เพราะอยู่ในเรือไม่สะดวก


      การร้องเพลงเรือตามปกติมักไม่มีการไหว้ครู เพราะพื้นฐานเป็นเพลงเล่นสนุกๆไม่ใช่ร้องเป็นอาชีพ เวลาจะจากฝ่ายชายมักพายเรือไปส่งฝ่ายหญิงจนถึงที่หมาย



ลำตัด

             ลำตัด เรียกได้ว่า เป็นเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองชนิดหนึ่งของไทย ซึ่ง นิยมร้องกันในเขตภาคกลาง ทั้งนี้ มีต้นตอมาจาก “ลิเกบันตน” ของชาวมลายู ในต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยลิเกบันตนดังกล่าว มีรูปแบบของการแสดงแยกออกเป็น 2 สาขา สาขาหนึ่ง เรียกว่า”ฮันดาเลาะ” และ “ลากูเยา” และลิเกบันตนลากูเยา มีลักษณะของการแสดงว่ากลอนสดแก้กัน โดยมีลูกคู่คอยรับ เมื่อต้นบทร้องจบ ต่อมาเมื่อมีการดัดแปลงกลายเป็นภาษาไทยทั้งหมด จึงเรียกกันว่า”ลิเกลำตัด” ในระยะแรก และเรียกสั้น ๆ ในเวลาต่อมาว่า “ลำตัด” ซึ่งมีลักษณะของเพลงและทำนองเพลงที่นำมาให้ลูกคู่รับ โดยมากก็มักตัดมาจากเพลงร้องหรือเพลงดนตรีอีกชั้นหนึ่ง
         โดยเลือกเอาแต่ตอนที่เหมาะสมแก่การร้องนี้มาเท่านั้นบัดนี้ชื่อถูกตัดลงไปโดยความกร่อนของภาษาเหลือ เพียงว่า ”ลำตัด” เป็นการตั้งชื่อที่เหมาะสม เรียกง่าย มีความหมายรู้ได้ดีมาก (มนตรี ตราโมด,2518 : 46 – 65) กล่าวคือ ความหมายเดิม “ลำ” แปลว่าเพลงเมื่อนำมารวมกับคำว่า ”ตัด” จึงหมายถึง การนำเอาเพลงพื้นบ้านอื่น ๆ อีกหลายชนิด ตัดรวมเข้าเป็นบทเพลง เพื่อการแสดงลำตัด เช่นตัดเอา เพลงเกี่ยวข้าว เพลงฉ่อย เพลงเรือ เพลงพวงมาลัยและเพลงอีแซว เป็นต้น เข้ามาเป็นการละเล่นที่เรียกว่า ลำตัด (ธนู บุญยรัตพันธ์, สัมภาษณ์)
         สังคมใดสังคมหนึ่งจะตั้งมั่นและดำรงอยู่ได้อย่างถาวรนั้นจำเป็นจะต้องประกอบด้วยโครงสร้างของสังคมที่มั่นคงแข็งแรงไม่ว่าจะเป็นโครง สร้างทางการเมือง การปกครอง สังคม เศรษฐกิจ และศิลปวัฒนธรรม (สงบ ส่งเมือง, 2534 : 15) การศึกษาลำตัดซึ่งเป็นกลไกทางสังคมอันหมายถึงศิลปวัฒนธรรมที่ดำเนินอยู่ในสังคมไทยโดยเฉพาะสังคมในระดับท้องถิ่นที่ยังคงความเป็นแบบดั้งเดิม (Tradition)ในครั้งนี้จึงเป็นแนวทางหนึ่งของการอนุรักษ์และสืบสานความเป็นศิลปวัฒนธรรมที่จะชี้ให้เห็นการดำรงอยู่ในบริบททางสังคมวัฒนธรรมไทย
         ด้วยสภาพทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสศิลปะทุกแขนงย่อมได้รับผลกระทบการจะให้คงความเป็นลักษณะเดิม อยู่ตลอดเวลาจึงย่อมเป็นไปไม่ได้กล่าวคือศิลปะพื้นบ้านทั้งมวลย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามค่านิยมและอิทธิพลจากวัฒนธรรมภายนอกซึ่งจะส่งผล ต่อการเลือนหายการขาดความต่อเนื่องและการผิดเพี้ยนจากของเดิมเพราะฉะนั้นการสืบสานและการอนุรักษ์จึงจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจอย่าง ถ่องแท้ ดังนั้นด้วยแนวคิดดังกล่าว การศึกษาวิจัย ลำตัดในครั้งนี้
         จึงจะนำมาซึ่งการรักษาศิลปวัฒนธรรมด้านเพลงพื้นบ้านของชาติให้คงอยู่เป็นเอกลักษณ์ของเชื้อชาติผู้วิจัยจึงได้สนใจที่จะศึกษาเรื่องเพลง พื้นบ้าน ลำตัด เนื่องจากลักษณะเฉพาะของการละเล่นลำตัด เป็นการรวมเอาเพลงพื้นบ้านหลายชนิดเข้าด้วยกัน การศึกษา รวบรวม และบันทึก “ทำนองเพลง” เพลงลำตัดและของบทเพลงพื้นบ้านที่ปรากฏอยู่ในการละเล่นลำตัด
         จึงจะเป็นการอนุรักษ์ลักษณะของทำนองเพลงทั้งหลายที่เป็นองค์ประกอบในการละเล่นดังกล่าวนั้นให้คงอยู่เป็นแบบฉบับซึ่งจะเป็น แนวทางในการสืบสานที่ถูกต้องและต่อเนื่องตามแบบแผนอีกทั้งจะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้คนในสังคมได้เล็งเห็นถึงความมีคุณค่าของเพลงที่ควรแก่การ สืบทอดและการพัฒนาบนพื้นฐานของความเป็นศิลปะพื้นบ้านที่แท้จริงเพื่อเป็นพลังสำคัญสำหรับความอยู่รอดของสังคมวัฒนธรรมของชาติไทยเราสืบไป