วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ครูเพลงพื้นบ้าน

                                                                             แม่ประยูร
            แม่ประยูร มีชื่อและนามสกุลจริงว่า นางประยูร ยมเยี่ยม เกิดเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ที่จังหวัดนนทบุรี ปัจจุบันอายุ ๖๘ ปี ท่านมีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก สามารถอ่านบทร้อยกรองได้อย่างไพเราะ ทั้งยังมีความทรงจำดีเยี่ยม เมื่ออายุได้ราว ๑๓-๑๔ ปี คุณตาของท่านซึ่งมองเห็นแววว่าท่านน่าจะเป็นนักแสดงที่ดีได้ จึงสนับสนุนให้เอาดีทางด้านการแสดงโดยการไหว้วานคนรู้จักที่ชื่อนายแดงให้ช่วยหาครูสอนเพลงพื้นบ้านให้ นายแดงจึงได้พาแม่ประยูรไปเรียนกับครูบาง ที่ตำบลบางไผ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งครูบางก็ได้สอนการเล่นลำตัดให้จนแม่ประยูรเล่นได้ดี และเริ่มออกแสดงลำตัดเป็นครั้งแรกเมื่อราวปี ๒๔๙๑ ขณะที่มีอายุได้ ๑๕ ปี
            ครั้นอายุประมาณ ๑๘ ปี แม่ประยูรก็ได้สมัครเข้าเล่นลำตัดกับคณะแม่จำรูญ ซึ่งเป็นลำตัดที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งแม่จำรูญก็ได้ช่วยถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านและลำตัดให้แม่ประยูรอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความชำนาญและมีประสบการณ์ยิ่งขึ้น สามารถด้นกลอนสด และแต่งคำร้องได้อย่างเฉียบแหลมคมคาย และได้มีโอกาสออกแสดงเป็นประจำ จนเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ในช่วงที่ร่วมคณะลำตัดกับแม่จำรูญนั้น แม่ประยูรก็ได้พบกับ หวังเต๊ะและได้ร่วมประชันลำตัดกันอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นคู่ประชันลำตัดยอดนิยมสูงสุด จากนั้นก็ได้แต่งงานอยู่กินกันจนมีบุตรด้วยกัน ๒ คน ก่อนที่จะหย่าขาดจากกัน แต่ก็ยังคงแสดงลำตัดร่วมกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน (ซึ่งผมก็ได้เล่าความยิ่งใหญ่และโด่งดังของทั้ง ๒ ท่านนี้เอาไว้แล้วในฉบับก่อน จึงจะไม่ขอเล่าซ้ำอีก)
            นอกจากลำตัดแล้ว แม่ประยูรยังมีความสามารถในการแสดงเพลงพื้นบ้านอีกหลายประเภท ได้แก่ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงเรือ และเพลงขอทาน เป็นต้น ท่านได้ตระเวนออกแสดงเพลงพื้นบ้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำตัด ไปทั่วประเทศและยังเป็นผู้ริเริ่มในการนำลำตัดมาจัดทำเป็นเทปคาสเซ็ทท์ และวิดีโอออกจำหน่ายหลายชุด ได้แก่ ชุดจุดเทียนระเบิดถ้ำ ชุดดังระเบิด ชุดเกิดแก่เจ็บตาย และชุดชายสอนหญิง เป็นต้น
            แม่ประยูรได้ช่วยเหลือสังคมส่วนรวมด้วยการร่วมแสดงในงานการกุศลต่างๆ มิได้ขาด ตลอดจนเป็นสื่อช่วยการประชาสัมพันธ์และการรณรงค์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ อาทิ การรณรงค์ต่อต้านภัยจากคอมมิวนิสต์ และการต่อต้านโรคเอดส์ เป็นต้น โดยแต่งเนื้อร้องลำตัดที่ทันต่อเหตุการณ์ สามารถสื่อความหมายให้ผู้ฟังได้รับทั้งข้อมูลข่าวสารในรูปแบบใหม่ที่ให้ความบันเทิงอย่างแยบคายและสนุกสนาน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังมีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่และรักษาไว้ซึ่งเพลงพื้นบ้านต่างๆ อันเป็นศิลปะวัฒนธรรมที่สูงค่าของชาติเอาไว้ โดยได้อุทิศตนถ่ายทอดศาสตร์และศิลป์ทางด้านนี้ให้แก่นิสิตนักศึกษาในสถานศึกษาต่างๆ เช่น วิทยาลัยนาฏศิลป์ของกรมศิลปากร ตลอดจนผู้ที่มีใจใฝ่ศึกษาโดยทั่วไป ด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจอย่างละเอียดไม่ปิดบัง ทั้งสาธิตให้ดูอย่างชัดเจน และเอาใจใส่ฝึกฝนแก้ไขให้อย่างใกล้ชิด จนสามารถสร้างศิลปินเพลงรุ่นใหม่ที่มีความสามารถหลายคน จนสามารถนำไปเป็นอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวได้ ศิษย์ของท่านเหล่านี้ยังเป็นความหวังและกำลังสำคัญที่จะช่วยกันสืบทอดศิลปะแขนงนี้ให้ยั่งยืนต่อไปได้ นอกจากนั้น ท่านยังได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปแสดงเผยแพร่ในจังหวัดต่างๆ เนื่องในงานเทศกาลสำคัญๆ หรืองานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ยิ่งไปกว่านั้น แม่ประยูรยังเคยได้รับเชิญให้นำคณะลำตัดไปแสดงที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยได้ออกตระเวนแสดงลำตัดให้คนไทยในสหรัฐอเมริกาชมถึง ๓๓ รัฐ เป็นเวลานานกว่า ๓ เดือน ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากผู้ชมอย่างดียิ่ง
            จากเกียรติประวัติของการเป็นยอดศิลปินลำตัดฝ่ายหญิงที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ ส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติยกย่องให้ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ลำตัด) เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ เป็นท่านที่ ๒ ต่อจากลุงหวังเต๊ะ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติไปก่อนหน้านั้นแล้ว




ลุงหวังเต๊ะ
    ลุงหวังเต๊ะ หรือในชื่อและนามสกุลจริงว่า นายหวังดี นิมา เกิดในครอบครัวชาวนาเมื่อเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๔๖๘ ที่จังหวัดปทุมธานี ปัจจุบันอายุ ๗๖ ปี ไดรับการศึกษาจนถึงชั้นประถมปีที่ ๖ จากโรงเรียนวัดหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี
            นอกจากการทำนาอันเป็นอาชีพหลักแล้ว บิดาของลุงหวังเต๊ะยังเป็นนักลำตัดที่มีชื่อเสียง ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดศิลปะทางด้านนี้จากบิดาอย่างละเอียดลึกซึ้งทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นลีลา ท่าทาง ตลอดจนถึงการแต่งเพลงที่ใช้ในการเล่นลำตัดจนเชี่ยวชาญ ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของท่านก็เป็นละครชาตรีซึ่งก็ได้ถ่ายทอดการรำให้เป็นอย่างเต็มที่ จึงนับได้ว่าท่านได้รับเลือดศิลปินมาอย่างเต็มตัวตั้งแต่เล็กๆ
            ในวัยเด็ก ลุงหวังเต๊ะมักจะติดตามบิดาซึ่งออกไปแสดงตามงานต่างๆ เสมอ จึงได้มีโอกาสศึกษาและซึมซับการแสดงลำตัดโดยอัตโนมัติ และก็ได้เริ่มแสดงลำตัดกับบิดาตั้งแต่อายุเพียง ๑๓-๑๔ ปีเท่านั้น นอกจากลำตัดแล้ว ท่านยังได้หัดร้องเพลงพื้นบ้านอื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวข้าว เพลงพวงมาลัย และเพลงขอทาน เป็นต้น โดยมักจะฝึกร้องขณะช่วยบิดามารดาทำนา
            ครูทางการแสดงของลุงหวังเต๊ะหาได้มีเพียงบิดา มารดาของท่านเท่านั้น หากท่านยังได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากครูอีกหลายท่าน ได้แก่ ครูแก้ว ผมโป่ง ครูถนอม ท่าเกษม ครูจง สายสมอ ครูชะโอด ท่าไข่ ครูประยูร และแม่จรูญหน้าบาก เป็นต้น จากการที่มีครูผู้มีความสามารถสูงส่งทางด้านเพลงพื้นบ้านช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ กอปรกับความรักในศิลปะการแสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำตัดเป็นชีวิตจิตใจ และความขยันหมั่นเพียรในการฝึกซ้อม ทำให้ลุงหวังเต๊ะเป็นศิลปินที่เปี่ยมด้วยความสามารถทางด้านลำตัดอย่างยากที่จะหาผู้เทียบเทียมได้ ท่านได้แสดงให้สาธารณชนประจักษ์ถึงอัจฉริยภาพทางด้านการแสดงและการใช้ภาษาเฉียบคมลึกซึ้งจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงโดยทั่วไป
            ครั้นอายุได้ ๒๖ ปี ลุงหวังเต๊ะก็ได้ตั้งคณะลำตัดของตัวเองขึ้น ในการแสดงของท่านจะเน้นการแสดงไหวพริบปฏิภาณ ด้วยการใช้คำกลอนที่เชือดเฉือนคารมคมคาย และหลีกเลี่ยงการใช้สำนวนภาษาที่หยาบคายหรือลามกอนาจาร เพราะท่านถือว่าเป็นการทำงานที่ไม่มีศิลปะ และทำให้ภาพพจน์ของศิลปะการแสดงลำตัดเสียหาย ในด้านเนื้อหาและวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการแสดงนั้น ท่านก็ขยันศึกษาหาข้อมูลให้ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบันตลอดเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทำให้การแสดงของท่านทันสมัย สนุกสนาน และมีสาระข้อคิดครบครันไม่เคยทำให้ผู้ชมผิดหวัง
            ด้วยกิตติศัพท์ด้านลำตัดอันเลื่องลือของลุงหวังเต๊ะ ทำให้มีผู้มาขอฝากตัวเป็นศิษย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งท่านก็เต็มใจช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเต็มที่ไม่เคยหวงวิชา ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่มีสถานศึกษาเชิญให้ไปบรรยาย ท่านก็มักจะรับเชิญเสมอ ทำให้วงการลำตัดที่แต่เดิมนับวันจะซบเซาลงทุกขณะถึงขั้นเกือบจะสูญไป กลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง และมีอนาคตที่สดใสขึ้นกว่าเดิมมาก ส่วนในด้านการทำงานเพื่อสังคม ลุงหวังเต๊ะยังได้ใช้ความสามารถของท่านช่วยเหลืองานเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างขันแข็งมาโดยตลอดอีกด้วย
            คู่ประชันลำตัดฝ่ายหญิงของลุงหวังเต๊ะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือแม่ประยูร ยมเยี่ยม (ศิลปินแห่งชาติ) ซึ่งได้แสดงคู่กันมาเป็นเวลายาวนานจนเป็นที่คุ้นเคยของมหาชน นับได้ว่าเป็นคู่ลำตัดอมตะยอดนิยมที่ไม่มีคู่อื่นใดเทียบเทียมได้ ทั้ง ๒ ท่านนี้ได้ร่วมงานกันจนเกิดความสนิทสนมและแต่งงานอยู่กินกันจะมีบุตรด้วยกัน ๒ คน และแม้ว่าในที่สุดมีอันต้องแยกทางกัน ท่านก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและยังคงร่วมงานและไปมาหาสู่กันเสมอ
            จากผลงานดีเด่นทางด้านการแสดงลำตัด ทำให้ลุงหวังเต๊ะได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน) เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ นับเป็นนักแสดงลำตัดท่านแรกที่ได้รับเกียรตินี้




ขวัญจิต ศรีประจันต์
ขวัญจิต ศรีประจันต์ สนใจเพลงพื้นบ้านมาตั้งแต่อายุ 15 ปี และแม้เชื้อสายทางพ่อจะมีญาติเป็นพ่อเพลงที่มีชื่อเสียงของสุพรรณบุรี แต่พ่อก็ไม่สนับสนุนให้เป็นแม่เพลงพื้นบ้านด้วยเกรงว่าความเป็นสาวรุ่นจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องชู้สาวตามมา แต่กลับสนับสนุนลูกสาวอีกคนหนึ่งที่อายุยังน้อยให้ไปฝึกหัดเพลงพื้นบ้านกับพ่อเพลงไสว วงษ์งามแทน ความสนใจเพลงพื้นบ้าน ทำให้ขวัญจิตติดตามดูการร้องเพลงอีแซวของแม่เพลงบัวผัน จันทร์ศรี (ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2533) เป็นประจำและต่อมาได้มีโอกาสไปดูแลน้องสาวที่อยู่กับครูไสว จึงได้เรียนรู้การเล่นเพลงอีแซวแบบครูพักลักจำจนท่องเนื้อเพลงได้หลากหลายทั้งลีลาเพลงแนวผู้ชายของครูไสวและเพลงแนวผู้หญิงของครูบัวผัน
ขวัญจิต เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และวรรณคดีเก่าๆของไทยอ่านแล้วก็นำเนื้อหานั้นมาแต่งเป็นเพลงอีแซว ร้องเล่นจนเกิดความแตกฉานซึ่งต่อมาได้ขอครูไสว แสดงบ้าง แม้ในระยะแรกๆครูไสวจะยังไม่อนุญาต แต่ในเวลาต่อมาเมื่อได้เห็นความอดทน ความตั้งใจจริง จึงอนุญาตให้แสดงความสามารถ และด้วยพลังเสียงที่กังวานมีไหวพริบ ปฏิภาณ เฉลียวฉลาดในการว่าเพลง ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักฟังเพลงอีแซวยิ่งนัก
ขวัญจิต ได้ตระเวนเล่นเพลงอีแซวอยู่กับวงพื้นบ้านอีกหลายวงเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์จากพ่อเพลง แม่เพลงอีกหลายคนและเริ่มแสดงเพลงอีแซวในต่างจังหวัด และในกรุงเทพมหานคร ในงานสังคีตศาลา หรืองานสงกรานต์ที่ท้องสนามหลวงเป็นประจำ ทำให้มีความแตกฉานในเรื่องเพลงอีแซวมากยิ่งขึ้น สามารถเขียนเพลงเอง เพื่อใช้ในการแสดงและโต้ตอบเพลงสดๆ กับพ่อเพลงได้อย่างคมคายเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม หลังจากเล่นเพลงอีแซวจนมีชื่อเสียงแล้วขวัญจิต ได้สมัครเป็นนักร้องลูกทุ่งโดยเริ่มอยู่กับวงดนตรีลูกทุ่งคณจำรัศ สุวคนธ์(น้อย) และวงไวพจน์ เพชรสุพรรณ โดยได้บันทึกแผ่นเสียงเพลงแรกชื่อเพลง เบื่อสมบัติ งานเพลงของครู จิ๋ว พิจิตร เมื่อ ปี 2510 ทำให้เริ่มมีชื่อเสียงจากเพลงลูกทุ่งจากเพลง “เบื่อสมบัติ” , “ลาน้องไปเวียดนาม”, “ลาโคราช”, “ขวัญใจโชเฟอร์” , “เกลียดคนหน้าทน” , “ขวัญใจคนจน” “แม่ครัวตัวอย่าง “ และ “แหลมตะลุมพุก
จากนั้นได้แต่งเพลงเองได้แก่ “กับข้าวเพชฌฆาต” , “น้ำตาดอกคำใต้” , “สาวสุพรรณ “ ซึ่งเป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้เป็นอย่างมาก ต่อมาจึงได้ตั้งวงดนตรีของตนเอง ชื่อวงขวัญจิต ศรีประจันต์ เป็นวงดนตรีที่นำระบบแสง สี เสียง ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาใช้ประกอบการแสดงนำเพลงอีแซวมาผสมผสานกับการแสดงเผยแพร่สู่ผู้ฟังทั่วประเทศจนเป็นที่รู้จักกันอย่างเป็นอย่างดี
พ.ศ. 2516 ขวัญจิต ยุติวงดนตรีลูกทุ่งแล้วกลับไปฟื้นฟูเพลงอีแซวที่ จ.สุพรรณบุรี อุทิศชีวิตในการอนุรักษ์ฟื้นฟู เผยแพร่และถ่ายทอดเพลงอีแซวให้กับลูกศิษย์และผู้สนใจมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน ได้ใช้ความรู้ความสามารถช่วยเหลือสถาบันการศึกษาและหน่วยงานราชการในการเป็นวิทยากรสาธิต รับแขกบ้านแขกเมืองด้วยการแสดงพื้นบ้านติดต่อกันมาอย่างยาวนาน

 ผลงานเพลงดัง

  • กับข้าวเพชฌฆาต
  • เบื่อสมบัติ
  • แม่ครัวตัวอย่าง
  • ก็นั่นนะซิ
  • พ่อเพาเว่อร์
  • เศรษฐีเมืองสุพรรณ
  • ผัวบ้าๆ
  • น้ำตาดอกคำใต้
  • สาวสุพรรณ
  • สุดแค้นแสนรัก
  • อ้อมอกเจ้าพระยา
  • แหลมตะลุมพุก
  • ทำบุญวันเกิด
  • ลาน้องไปเวียดนาม
  • ลาโคราช
  • ขวัญใจโชเฟอร์
  • เกลียดคนหน้าทน
  • ขวัญใจคนจน
  • หม้ายขันหมาก (ต้นฉบับ)
  • ผัวหาย
  • ฯลฯ เป็นต้น

ผลงานภาพยนตร์

ชีวิตครอบครัว
สมรสกับนายเสวี ธราพร มีบุตร 3 คน เป็น ชาย 1 คน และหญิง 2 คน

เกียรติยศ

พ.ศ. 2532 ได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็น ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะ (เพลงพื้นบ้าน) จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

พ.ศ. 2533 ได้รับคัดเลือกเป็นสื่อพื้นบ้านดีเด่นของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคกลางและสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด
พ.ศ. 2534 ได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็น นักร้องดีเด่นกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ครั้งที่ 2 จากเพลงกับข้าวเพชฌฆาต รับพระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดงานโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. 2536 ได้รับโล่เกียรติคุณ ฐานะนักร้องลูกทุ่งดีเด่นของ จ.สุพรรณบุรี
พ.ศ. 2539 ได้รับการประกาศเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น